นั่นก็คือ ข้อ 1. ห้ามขาดทุน ข้อ 2. ให้กลับไปดู ข้อ 1
ผมก็ยึดถือกฏข้อนี้นั่นแหละครับ
https://www.facebook.com/chonlathitvi
Chonlathit VI
ลิ้งแฟนเพจ https://www.facebook.com/chonlathitvi กดLike กดShare กันเยอะๆนะครับ
Friday, February 20, 2015
Wednesday, February 18, 2015
ถึงพอร์ตจะเล็กแต่พริกขี้หนู อยากให้กำลังใจคนที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ สู้ๆครับ
ก่อนเปิดตลาดวันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ การลงทุนของผมย้อนหลังไป 1 ปี ที่ผ่านมาผมบอกตัวเองว่าอยากรวยและก็ศึกษาคนรวยว่าเค้ารวยได้อย่างไร จึงพบว่าคนรวยส่วนใหญ่นั้นเค้าเอาเงินไปลงทุนหุ้น ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผมจงตัดสินใจเจียดเงินค่าขนม และเงินที่ทำงาน Part Time มาลงทุนหุ้นหวังว่าจะรวยเร็วๆ แต่จริงแล้วกลับพบว่าพอเข้าซื้อหุ้นตัวไหนก็แดงติดลบทุกที มีครั้งนึงที่เป็นบทเรียนให้ผมก็คือหุ้น IPO ตัวนึง ผมยังเรียนอยู่ซึ่งวันนั้นมีเรียนตอนเช้าผมเลยตั้งซื้อไว้ก่อนตลาดเปิด จากนั้นก็ไม่ได้ดูเพราะอาจารย์ห้ามเล่นมือถือในห้องเรียน พอพักเที่ยงมาเปิดดูพอร์ดก็ยัง IPO ตัวนั้นก็ยังบวกอยู่ แต่พอตอนบ่ายเข้าเรียนอีก แล้วเลิกเรียนตอนบ่ายสี่โมง แล้วผมก็เปิดดูพอร์ต ผมนี่ตกใจเลยครับ IPO ตัวนั้นมันโดนทุบเฉพาะ IPO ตัวนั้นผมติดลบไป -23% ซึ่งพอร์ดโดยรวมก็ติดลบอยู่แล้ว นั้นจึงเป็นการจ่ายค่าเทอมครั้งแรกของผมและหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สองอีก ซึ่งประมาณปลายปีที่แล้วก็ได้ขายขาดทุนไปแล้วสำหรับหุ้น IPO ตัวนั้น
มาถึงตอนนี้อยากจะเป็นกำลังใจให้สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ซึ่งยังไม่เข้าใจการลงทุนอยากให้อ่านหนังสือให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือหนังสือเล่มไหนที่มีคำว่าหุ้นผมจะลองจับมาอ่านซึ่งก็ใช้บริการห้องสมุดของมหาวัยของผมเอง ท่านอื่นๆก็ลองหาหนังสือตามร้านหนังสือ หรือตามห้องสมุดก็ได้ครับ หรือจะลองไปสัมนาดูครับจะได้พบเพื่อนนักลงทุนเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดกัน ผมเองก็มีเพื่อนนักลงทุนเหมือนกันซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการลงทุนกัน
ถ้าถามผมว่ายึดถือหลักการลงทุนแนวไหนซึ่งก็แบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ Fundamental หรือ Technical analysis ผมบอกได้เลยว่าแรกเริ่มเข้าตลาดผมยึดถือแนว Fundamental แล้วไม่คิดจะศึกษาอย่างอื่นเลย จงทำให้บางครั้งก็ไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ได้หุ้นมานอนนิ่งๆราคาไม่เคลื่อนไหวบางครั้งก็ติดลบไปเลย จึงทำให้ผมเริ่มศึกษาแนว Technical analysis ซึ่งมี Indicator เอาไว้จับจังหวะเข้าซื้อ-ขายออก ซึ่งผมว่ามันใช้ได้ดีมากครับ แต่ตัวผมเองมองว่ามันต้องใช้ Fundamental และ Technical analysis ทั้งคู่ด้วยกันจะทำให้เราไม่สุดโต่งจนเกินไปแต่จะทำให้เราสับสนแต่เราต้องเข้าใจพฤติกรรมของตัวหุ้นเองด้วยครับว่าเป็นหุ้นแนวไหนจึงจะใช้แนวไหนในการตัดสินใจ
เอาละครับต้องออกตัวก่อนว่าผมเองตอนนี้เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายครับก็ไม่ค่อยเก่งกาจอะไรมากมายในวันนี้ถือว่ามาเเชร์ประสบการณ์ดีกว่า อยากจะให้นักลงทุนรายใหม่ๆมีกำลังใจ หลายคนบอกผมว่าเงินนิดเดียวมันจะได้อะไรเดี๋ยวจะเอาเงินไปละลายน้ำเปล่าๆ ผมเองก็เคยคิดแบบนั้น แต่อยากให้ทุกคนคิดอีกมุมนึงว่าถ้าเราเงินน้อยเรายิ่งต้องลงทุนให้มากที่สุดเพื่อให้เงินไม่ถูกเงินเพ้อกัดกินมัน ต้องเอาเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยขึ้นมา
วันนี้ 19/2/2558 ผมก็ได้เอาพอร์ตที่ผมได้ลองผิดลองถูกมาให้ทุกคนได้ดูกันเอาไว้เป็นกำลังใจว่าถึงพอร์ตเราจะเล็กแต่มันเล็กพริกขี้หนูนะครับ สู้ๆนะครับ หาความรู้เยอะๆ เพราะตลาดหุ้น เสือ สิง มันเยอะ เราต้องมีความรู้เท่าทันจะไม่เป็น เม่า ให้เจ้ามือหลอกเอา สู้ๆครับ อยากให้ทุกท่านเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ตลาดเวลา และไม่หยุดยั้งที่จะเรียนรู้ครับผม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
https://www.facebook.com/chonlathitvi
มาถึงตอนนี้อยากจะเป็นกำลังใจให้สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่ซึ่งยังไม่เข้าใจการลงทุนอยากให้อ่านหนังสือให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือหนังสือเล่มไหนที่มีคำว่าหุ้นผมจะลองจับมาอ่านซึ่งก็ใช้บริการห้องสมุดของมหาวัยของผมเอง ท่านอื่นๆก็ลองหาหนังสือตามร้านหนังสือ หรือตามห้องสมุดก็ได้ครับ หรือจะลองไปสัมนาดูครับจะได้พบเพื่อนนักลงทุนเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดกัน ผมเองก็มีเพื่อนนักลงทุนเหมือนกันซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการลงทุนกัน
ถ้าถามผมว่ายึดถือหลักการลงทุนแนวไหนซึ่งก็แบ่งได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ Fundamental หรือ Technical analysis ผมบอกได้เลยว่าแรกเริ่มเข้าตลาดผมยึดถือแนว Fundamental แล้วไม่คิดจะศึกษาอย่างอื่นเลย จงทำให้บางครั้งก็ไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ได้หุ้นมานอนนิ่งๆราคาไม่เคลื่อนไหวบางครั้งก็ติดลบไปเลย จึงทำให้ผมเริ่มศึกษาแนว Technical analysis ซึ่งมี Indicator เอาไว้จับจังหวะเข้าซื้อ-ขายออก ซึ่งผมว่ามันใช้ได้ดีมากครับ แต่ตัวผมเองมองว่ามันต้องใช้ Fundamental และ Technical analysis ทั้งคู่ด้วยกันจะทำให้เราไม่สุดโต่งจนเกินไปแต่จะทำให้เราสับสนแต่เราต้องเข้าใจพฤติกรรมของตัวหุ้นเองด้วยครับว่าเป็นหุ้นแนวไหนจึงจะใช้แนวไหนในการตัดสินใจ
เอาละครับต้องออกตัวก่อนว่าผมเองตอนนี้เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายครับก็ไม่ค่อยเก่งกาจอะไรมากมายในวันนี้ถือว่ามาเเชร์ประสบการณ์ดีกว่า อยากจะให้นักลงทุนรายใหม่ๆมีกำลังใจ หลายคนบอกผมว่าเงินนิดเดียวมันจะได้อะไรเดี๋ยวจะเอาเงินไปละลายน้ำเปล่าๆ ผมเองก็เคยคิดแบบนั้น แต่อยากให้ทุกคนคิดอีกมุมนึงว่าถ้าเราเงินน้อยเรายิ่งต้องลงทุนให้มากที่สุดเพื่อให้เงินไม่ถูกเงินเพ้อกัดกินมัน ต้องเอาเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยขึ้นมา
วันนี้ 19/2/2558 ผมก็ได้เอาพอร์ตที่ผมได้ลองผิดลองถูกมาให้ทุกคนได้ดูกันเอาไว้เป็นกำลังใจว่าถึงพอร์ตเราจะเล็กแต่มันเล็กพริกขี้หนูนะครับ สู้ๆนะครับ หาความรู้เยอะๆ เพราะตลาดหุ้น เสือ สิง มันเยอะ เราต้องมีความรู้เท่าทันจะไม่เป็น เม่า ให้เจ้ามือหลอกเอา สู้ๆครับ อยากให้ทุกท่านเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ตลาดเวลา และไม่หยุดยั้งที่จะเรียนรู้ครับผม ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
https://www.facebook.com/chonlathitvi
Tuesday, July 1, 2014
ทำงานไปลงทุนไป/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาและค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากและบ่อย ๆ ต้องใช้เวลาในเวลางาน เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดในเวลางาน
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น และนั่นก็คือนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะ เนื่องจากผลงานที่ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นมาก ๆ ผลตอบแทนทำได้ปีละอาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมากและอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจหรือไม่อยากให้ลูกเข้ามาทำงานในธุรกิจของตนเอง อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI”นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” เหมือนกัน ดังนั้น พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเองและพ่อแม่ ดังนั้น เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทขึ้นไปในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่ดีขึ้น เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่รวยและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักนั้น การทำงานกินเงินเดือนหรือการใช้แรงทำงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก รายได้จากการทำงานนั้นเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและมักจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับการทำงาน และถ้าโชคดีได้งานที่ชอบ การทำงานก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักอกหรือต้อง “ฝืนใจทำ” มันก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว “มีความสุข” ว่าที่จริงในยุคสมัยปัจจุบันและในอนาคต การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด รายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ คร่าว ๆ พอร์ตควรจะใหญ่เป็นประมาณอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งจะทำให้เราสามารถเลิกทำงานประจำได้โดยไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก อาจจะเนื่องจากการแต่งงาน มีลูก เจ็บป่วยรุนแรง และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าเราควรยึดหลักว่า หนึ่ง เราชอบทำงานหรือไม่ ถ้าชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกเลย ทำไปลงทุนไป แต่ถ้าไม่ได้รักหรือชอบงานที่ทำ เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น และนั่นก็คือนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะ เนื่องจากผลงานที่ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นมาก ๆ ผลตอบแทนทำได้ปีละอาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมากและอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจหรือไม่อยากให้ลูกเข้ามาทำงานในธุรกิจของตนเอง อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI”นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” เหมือนกัน ดังนั้น พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเองและพ่อแม่ ดังนั้น เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทขึ้นไปในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่ดีขึ้น เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่รวยและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักนั้น การทำงานกินเงินเดือนหรือการใช้แรงทำงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก รายได้จากการทำงานนั้นเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและมักจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับการทำงาน และถ้าโชคดีได้งานที่ชอบ การทำงานก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักอกหรือต้อง “ฝืนใจทำ” มันก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว “มีความสุข” ว่าที่จริงในยุคสมัยปัจจุบันและในอนาคต การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด รายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ คร่าว ๆ พอร์ตควรจะใหญ่เป็นประมาณอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งจะทำให้เราสามารถเลิกทำงานประจำได้โดยไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก อาจจะเนื่องจากการแต่งงาน มีลูก เจ็บป่วยรุนแรง และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าเราควรยึดหลักว่า หนึ่ง เราชอบทำงานหรือไม่ ถ้าชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกเลย ทำไปลงทุนไป แต่ถ้าไม่ได้รักหรือชอบงานที่ทำ เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า
Facebook Fanpage :รู้ทันหุ้นบ่าย
Sunday, June 15, 2014
แรงจูงใจกับการลงทุน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวร
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 มิถุนายน 57
คนที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น หุ้น และการลงทุนนั้นมีมากมาย แต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มนั้นต่างก็มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน พวกเขาอยากที่จะเห็นตลาดหุ้น และการลงทุนมีทิศทางที่สอดคล้องตรงกับผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่จะเอื้ออำนวยกับสิ่งที่ตนต้องการให้เป็น ซึ่งก็รวมถึงการพูดโน้มน้าวจิตใจคนอื่นและสาธารณชนให้เห็นคล้อยตามคำพูดของเขา ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของเราที่เป็นนักลงทุนแบบ VI ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
เริ่มตั้งแต่โบรกเกอร์ที่ผลประโยชน์หลักอยู่ที่ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นนั้น สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นก็คือการซื้อขายหุ้นของลูกค้าบ่อย ๆ ดังนั้นพวกเขาก็มักจะออกบทวิเคราะห์หุ้นที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นสูงและเป็นหุ้นที่มีความผันผวนของราคาสูงเนื่องจากความไม่แน่นอนของตัวกิจการ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่การตลาดก็มักจะให้คำแนะนำให้ลูกค้าซื้อขายบ่อย ๆ เวลาหุ้นขึ้นและลงแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ และสำหรับลูกค้ารายใหญ่หรือไม่ใหญ่มากแต่ซื้อขายหุ้นแบบเทรดเดอร์ที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงมากก็จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ พวกเขาไม่ชอบและจะไม่แนะนำให้ลูกค้าลงทุนถือหุ้นระยะยาวแม้ว่าหุ้นจะเป็นกิจการที่ดีมากและเหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว และถ้าลูกค้าถือหุ้นดังกล่าวไว้บางครั้งเขาก็แนะนำว่าควร “ขายไปก่อนแล้วค่อยซื้อกลับทีหลัง” ในหลาย ๆ กรณี พวกเขาอ้างการวิเคราะห์ทาง “เทคนิค” ที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อขายทันทีเมื่อราคาหุ้นถึงจุดเปลี่ยน ดังนั้น เวลาเราฟังโบรกเกอร์หรือนักวิเคราะห์ เราจะต้องระวังว่า วัตถุประสงค์ของเขาอาจจะไม่เหมือนของเรา
เราต้องการกำไรหรือได้ผลตอบแทนจากการลงทุน ส่วนเขาต้องการค่าคอมมิชชั่น แรงจูงใจไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำแนะนำหรือความเห็นของเขาจึงอาจจะ Bias หรือลำเอียงได้
เจ้าของและ/หรือผู้บริหารบริษัทนั้น ถ้ามองหยาบ ๆ ก็น่าจะมีวัตถุประสงค์คล้ายกับนักลงทุนเนื่องจากต่างก็เป็นผู้ถือหุ้นเหมือนกันหรือมีเป้าหมายที่อยากจะเห็นราคาหุ้นขึ้นไปสูงเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าของและ/หรือผู้บริหารนั้นมักมีผลประโยชน์อย่างอื่น เช่น มีเงินเดือน โบนัส และผลประโยชน์เกี่ยวพันอย่างอื่นกับบริษัทด้วย ดังนั้น ถ้าผลประโยชน์อย่างอื่นนอกจากปันผลจากหุ้นมีมากอย่างมีนัยสำคัญ แรงจูงใจของเจ้าของหรือผู้บริหารก็อาจจะแตกต่างจากผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนได้ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมง่าย ๆ ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการจ่ายเงินปันผลที่บางครั้งหรือบางบริษัทอาจจะจ่ายน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเหตุเพราะว่าผู้บริหารอาจจะถือหุ้นน้อยหรือไม่มี ดังนั้น เขาก็อาจจะอยากเก็บเงินไว้ในบริษัทซึ่งเขาจะได้มีโอกาสใช้ได้มากกว่า หรืออาจจะทำให้เขามีการบริหารงานที่สบายกว่าปกติ ตัวอย่างของบริษัทที่เป็นแบบนี้ก็เช่น บริษัทที่ผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติบางแห่งที่มีผู้บริหารที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นและจ่ายปันผลในอัตราที่ต่ำทั้งที่มีฐานะการเงินดี เงินที่เหลืออยู่มากในที่สุดก็ถูกนำไปลงทุนซึ่งบางครั้งก็ไม่ประสบความสำเร็จและตรวจสอบได้ยาก ถ้าเราเจอบริษัทแบบนี้ก็พึงรู้ไว้ว่าแรงจูงใจของเขากับเราที่เป็นนักลงทุนนั้นไม่ไปด้วยกัน ดังนั้นแม้บริษัทอาจจะกำไรดีก็อาจจะไม่คุ้มที่จะลงทุน
หุ้น IPO หรือหุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกนั้นเราก็จะต้องรู้ว่าเจ้าของน่าจะมีแรงจูงใจอย่างไร ข้อแรกนั้นชัดเจนก็คือ เขาต้องการขายหุ้นเพื่อเอาเงินเข้าบริษัทเพื่อเหตุผลในการขยายงานและทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง หรือในบางกรณี เจ้าของก็พ่วงหุ้นส่วนตัวเอามาขายด้วย ในทุกกรณี เขาต้องการขายได้ในราคาที่สูงเท่าที่จะเป็นไปได้และที่สำคัญก็คือเขาต้องคิดว่านั่นเป็นราคาที่เขาพอใจเมื่อเทียบกับคุณค่าของหุ้นในสายตาของเขา แรงจูงใจนี้ทำให้เขาพยายามกำหนดราคาหุ้นให้สูงโดยอาจจะทำการแต่งตัวหรือใช้จังหวะที่เหมาะสมของบริษัทหรือภาวะตลาดหุ้นในการเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนทั่วไป ผลก็คือ หุ้น IPO มักจะแพงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นและนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่จูงใจให้เจ้าของเอาหุ้นเข้าตลาด อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าของอาจจะมีแรงจูงใจอย่างอื่นที่สำคัญกว่า เช่น เขาต้องการเอาหุ้นเข้าตลาดเพื่อให้บริษัทมีการบริหารงานที่เป็นมาตรฐานและหุ้นมีสภาพคล่องและมีราคาตลาดที่ทำให้เขารู้มูลค่าความมั่งคั่งของตนเองและสามารถขายเพื่อกระจายความเสี่ยงรวมถึงสามารถที่จะนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทได้อย่างสะดวกในอนาคต ในกรณีแบบนี้ การตั้งราคาหุ้นก็อาจจะไม่ได้สูงกว่าพื้นฐานก็ได้ สรุปก็คือการวิเคราะห์หรือมองถึงแรงจูงใจของเจ้าของที่นำหุ้นเข้าตลาดจะช่วยให้เรารู้ว่าราคา IPO นั้นมีความสมเหตุผลมากน้อยแค่ไหนได้
นักลงทุนแต่ละคนที่เข้าไปซื้อขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเองนั้นก็มีแรงจูงใจที่แตกต่างกัน คนที่เข้าไปซื้อหุ้นลงทุนจนได้หุ้นครบจำนวนตามที่ต้องการแล้วนั้นต่างก็ต้องการให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไป แรงจูงใจนี้ทำให้เขาอยากจะเชียร์หุ้นตัวนั้นถ้ามีโอกาสทำได้ คนที่ซื้อหุ้นตัวนั้นในปริมาณที่มากและเป็นการซื้อเพื่อ “เก็งกำไร” ก็จะมีแรงจูงใจที่จะเชียร์หุ้นมากเนื่องจากเขาอยากที่จะเห็นหุ้นขึ้นไปเร็วเพื่อที่ว่าเขาจะได้ขายทำกำไรและหันไป “เล่น” หุ้นตัวอื่น คนที่ลงทุนระยะยาวเองนั้น การเชียร์อาจจะไม่มากเท่าเนื่องจากเขาไม่คิดที่จะขายหุ้นในระยะเวลาอันสั้น ในทางตรงกันข้าม คนที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นหรือคนที่ขายหุ้นตัวนั้นไปแล้วก็อาจจะมีแรงจูงใจในทางตรงกันข้าม พวกเขาไม่อยากให้หุ้นขึ้น ดังนั้นเขาไม่เชียร์ แถมอาจจะวิจารณ์ในด้านลบ ดังนั้น เวลาที่เราฟังการวิเคราะห์วิจารณ์หุ้นแต่ละตัวจากนักลงทุนคนอื่น เราก็ควรจะรู้ว่าแต่ละคนมีแรงจูงใจไม่เหมือนกันและดังนั้นการวิเคราะห์หุ้นก็อาจจะมีความลำเอียงทั้งในด้านที่ดีและร้ายขึ้นอยู่กับแรงจูงใจของแต่ละคน
การซื้อขายหุ้นของผู้บริหารที่ต้องมีการแจ้งต่อ กลต. ทุกครั้งนั้นเราก็ต้องพยายามมองหาว่าแรงจูงใจของเขาเป็นอย่างไร โดยปกติ ถ้าเป็นการขายรายการใหญ่มาก เช่น ขายถึง 10% ของบริษัท ในกรณีแบบนี้เราก็ต้องวิเคราะห์ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงขายและขายให้ใคร ในราคาเท่าไร แรงจูงใจในการขายคืออะไร เช่นเดียวกับแรงจูงใจของผู้ซื้อ เป็นไปได้ว่าเจ้าของอาจจะมองเห็นถึงความเสี่ยงในอนาคตของบริษัทเขาจึงขายไปในขณะที่หุ้นมีราคาที่ดีเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าคนซื้อมองเห็นว่าบริษัทมีศักยภาพสูงที่จะเติบโตต่อไปอีกนานดังนั้นเขาจึงอยากซื้อหุ้นล็อตใหญ่เพื่อการลงทุนและเขาคิดว่าราคาที่ซื้อนั้นคุ้มค่า ในหลาย ๆ กรณี การซื้อหุ้นล็อตใหญ่ก็เพื่อที่จะเข้ามาเป็น Strategic Partner หรือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นหลังจากการเข้ามาลงทุน ในกรณีแบบนี้ เราก็ต้องวิเคราะห์ว่ามันจะดีขึ้นจริงหรือไม่และถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นไปมากจากช่วงก่อนการขาย เราควรจะทำอย่างไร
การซื้อขายหุ้นของผู้บริหารที่ไม่ใช่รายการใหญ่และเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นเราต้องดูเป็นกรณีๆ ไป โดยปกติถ้าเป็นผู้บริหารที่ไม่ใช่เจ้าของบริษัทหรือเป็นระดับซีอีโอหรือคนที่มีอำนาจกำหนดทิศทางของบริษัทจริงๆ นั้น มักจะไม่ได้มีนัยสำคัญอะไรมากนัก แรงจูงใจในการขายหุ้นของพวกเขานั้นอาจจะเกิดจากความต้องการใช้เงินธรรมดาหรืออาจจะเกิดจากความรู้สึกว่าหุ้นมีราคาสูงเต็มมูลค่าหรือเกินพื้นฐานไปแล้ว เช่นเดียวกับการซื้อหุ้นที่อาจจะเกิดจากความคิดที่ว่าหุ้นมีราคาถูก อย่างไรก็ตาม เขาอาจจะคาดผิดได้เพราะเขาอาจจะไม่รู้จริง แต่ในกรณีที่ผู้บริหารคนสำคัญหรือเจ้าของเข้ามาซื้อๆ ขาย ๆ หุ้นค่อนข้างบ่อยนั้นผมคิดว่าเราคงต้องวิเคราะห์แรงจูงใจของเขาว่าเพราะอะไร เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะพยายาม “ส่งสัญญาณ” ซึ่งอาจจะ “ลวง” ให้นักลงทุนเข้าใจผิดในคุณค่าของหุ้นในเวลานั้น โดยมีแรงจูงใจที่จะทำให้ราคาหรือสภาพคล่องของหุ้นแตกต่างจากที่ควรจะเป็นเพื่อเหตุผลบางอย่าง เราในฐานะที่เป็น VI จะต้องติดตามและวิเคราะห์ว่ามันควรจะเป็นอะไร ประเด็นสำคัญก็คือ เราจะต้องคิดอย่างเป็นอิสระและไม่ถูกชักนำโดยข้อมูลที่ออกมาจากแรงจูงใจของคนอื่นที่ไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนกับเราหรือตรงข้ามกับเรา
Sunday, December 22, 2013
What Is A Stock? ชีวิตนักศึกษากับการลงทุน
ชีวิตนักศึกษากับการลงทุน
มีคนจำนวนมากรู้สึกตลกและขำกับสิ่งที่ผมทำอยู่
หลายคนคิดว่าผมบ้า ผมนั้นจะเอาเงินจากไหนไปเล่นหุ้น
ซึ่งหลายคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมใช้เงินในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินไม่ถึง
50 บาท
ซึ่งมันน้อยกว่าเงินที่คุณนำไปเปิดบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารเสียอีก
ผมเคยพูดเรื่องนี้ให้หลายคนฟังแต่คนพวกนั้นกลับไม่เชื่อผมและหาว่าผมโกหกบ้าง
หลอกลวงบ้างซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันสามารถทำได้จริง
ตอนนั้นผมเองก็ต้องยอมรับเลยว่าเป็นคนหัวดื้อไม่ค่อยฟังใครเหมือนกันเวลาผมพูดในสิ่งที่ผมรู้ให้คนอื่นฟังถ้าผู้ฟังไม่ฟังผมก็จะไม่พูดต่อเช่นเดียวกันถ้ามีใครพูดเรื่องที่ฟังแล้วไม่เข้าหูผมก็จะไม่ยอมรับฟังและเดินหนีไปเลย
ซึ่งพฤติกรรมของผมช่วงเวลานั้นยังเป็นเด็กหัวดื้อเลยทำให้ตัวผมเองไม่มีความน่าเชื่อถือพอ
แต่ด้วยความที่ผมเองเป็นบ้านนอกเกิดมาในฐานะยากจนพ่อแม่ของผมเป็นชาวนาผมจึงตั้งประณิธานไว้ว่าชาตินี้ต้องรวยให้ได้
เพื่อให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่สุขสบาย ผมเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว
และมีน้องชายอีก 1 คน
ซึ่งมีอายุห่างกันถึง 9 ปี
แต่ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ผมอย่ากันทำให้น้องชายของผมต้องไปอาศัยอยู่กับคนยาย ในช่วงเวลานั้นผมเองยอมรับว่าเครียดกับเรื่องครอบครัวอยู่พักใหญ่
เลยทำให้ผมนั้นพักเรื่องการลงทุนไปเป็นช่วงเวลาหนึ่ง เนื่องด้วยต้องหาสถานที่ศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาตรี
เพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว เป็นเหตุให้ผมต้องนำเงินที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะนำไปลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมาใช้จ่ายในการเดินทางไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งใหม่ในจังหวัดปทุมธานีนั่นก็คือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ในคณะวิศวกรรมศาสตร์
ภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม สาขาอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ผมเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์มายังไม่เคยทำการซื้อขายเลยแม้แต่ครั้งเดียว
โดยปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลาเกือบ 2 ปีและไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเลยแม้แต่บาทเดียว
ถ้าเปรียบเทียบกับบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารต่างๆแล้วผมคิดว่าคงโดนปิดบัญชีไปแล้วแหละ
เพราะถ้าหากไม่มีการฝากถอนและไม่มีเงินในบัญชีเลยทางธนาคารก็จะทำการปิดบัญชีของเราโดนอัตโนมัติโดยไม่ต้องแจ้งให้เรารับทราบล้วงหน้า
เหตุที่ผมปล่อยบัญชีซื้อขายหุ้นให้ว่างเปล่าอยู่นั้นก็มีหลายปัจจัยเหมือนกันที่ต้องทำแบบนั้นทั้งเรื่องเวลาเรื่องปัญหาทางบ้านเรื่องความรู้เรื่องการลงทุนยังไม่พียงพอและที่สำคัญก็คือเรื่องเงินเป็นปัจจัยหลักเลยก็ว่าได้
เมื่อผมสอบเข้ามหาลัยวิทยาลัยแห่งใหม่ได้แล้วในช่วงชั้นปีที่ 1 นั้นเต็มไปด้วยกิจกรรมที่น้องใหม่
เฟรชชี (Freshy) จะต้องเข้าร่วม
กิจกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ทำให้ผมสามารถมาสนใจเรื่องการลงทุนในหุ้น
จนกระทั่งผมก้าวสู่ปีที่ 2 ของการศึกษา
มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมก็ได้พูดเรื่องการลงทุนในหุ้นขึ้นมา
ประจวบกับผมมีเวลาว่างมากขึ้นนั่นเองทำให้ผมมีโอกาสศึกษาและลงทุนในตลาดหุ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง
โดยมีเพื่อนนักลงทุนในตลาดหุ้นอีกคนเป็นคนคอยให้คำปรึกษาซึ่งกันและกัน
Sunday, December 15, 2013
เศรษฐีหุ้นไทย 2556
10 อันดับเศรษฐีหุ้นไทย 2556
อันดับ ชื่อ มูลค่า เปลี่ยนแปลง
(ล้านบาท) (ล้านบาท) %
1 น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 36,596.20 15,472.72 73.25 2
2.นายคีรี กาญจนพาสน์ 34,219.79 10,763.72 45.893
3.นายพิชญ์ โพธารามิก 26,481.99 19,327.08 270.12 4
4.นายอนันต์ อัศวโภคิน 25,740.75 4,052.80 18.69 5
5.นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ 25,453.35 1,955.57 8.32 6
6.นายวิชัย ทองแตง 20,129.31 3,337.88 19.88 7
7.นายนิติ โอสถานุเคราะห์ 18,623.77 6,293.09 51.04 8
8.นายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค 11,200.62 7,740.13 223.67 9
9.นางอุรณี ชาน 10,698.94 5,642.93 111.61 10
10.นายสมโภชน์ อาหุนัย 10,135.78 10,091.64 22,861.08
Wednesday, December 11, 2013
What Is A Stock? ก้าวแรกในตลาดหุ้น
(หุ้นคืออะไร? ทำไมนักศึกษาเกรียนๆ อย่างผมลงทุนในหุ้นได้?)
ก้าวแรกในตลาดหุ้น
ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าตัวผมเองนั้นไม่ได้เป็นนักลงทุนผู้เก่งกล้าสามารถ
ในการลงทุนมากนักเพียงแต่ มีความสนใจเป็นพิเศษในการลงทุนในตลาดหุ้นและอยากแชร์ประสบการณ์การลงทุนของผมเองให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้ศึกษา
เอาละครับต้องเริ่มเท้าความไปในปี พ.ศ. 2554 หรือ 2 ปีให้หลังตัวผมเองในตอนนั้นไม่ได้มีความสนอกสนใจในตลาดหุ้นเลยแม้แต่น้อยโดยคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวต้องใช้เงินจำนวนมากมายในการลงทุน
มันเป็นเรื่องของคนมีตังค์ แต่แล้วโชคชะตาหรือพรมลิขิตได้ขีดเขียนให้ผมซึ่งตอนนั้นยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาภาคพายัพเชียงใหม่
ในวุฒิการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ สาขาอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป
ช่วงนั้นเวลานั้นผมกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเรียน
ในภาคการเรียนสุดท้ายนี้เองที่ทำให้ผมมีวิชาที่ต้องเรียนกับอาจารย์ กำธร
เรือนฝายกาศ ซึ่งท่านเป็นผู้สอนผมถึง 3 วิชา
ซึ่งประกอบไปด้วยภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จึงทำให้มีเวลาเรียนกับท่านอาจารย์ กำธร
เรือนฝายกาศ ตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์เลยทีเดียว
ในช่วงท้ายของการเรียนการสอนท่านอาจารย์ จะสอนผมเรื่องการลงทุนหุ้น ไม่เพียงเท่านี้ท่านยังสอนเรื่องการใช้ชีวิตหลังการเรียนจบ
และการไปศึกษาต่อ ตอนนั้นเองผมยอมรับเลยว่าผมสนใจเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างมากและเมื่อท่านอาจารย์ได้พูดถึง
อิสรภาพทางการเงิน(Financial
Freedom)ซึ่งทำให้ตัวผมเองถึงกับตาลุกเป็นไฟเลยทีเดียว ฮ่าๆ
โดยคิดไปเองต่างๆนาๆ ฝันว่าอยากรวยทางลัดด้วยตลาดหุ้น
ทั้งๆที่ตัวเองนั้นยังไม่มีความรู้ทางการเงินการลงทุนเลยแม้แต่น้อยเลย
เมื่อไฟแห่งความโลภลุกขึ้นมาโหมโรงเข้ามาในใจผมมากขึ้นจึงทำให้ผมตัดสินใจกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้นโดยความโลภหวังเพียงอยากรวยทางลัด
จึงขอให้ท่านอาจารย์กำธร เรือนฝายกาศ
เป็นผู้ช่วยตรวจเอกสารในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง
และท่านอาจารย์ก็ให้ความช่วยเหลือผมด้วยความเต็มใจจนกระทั่งผมได้รับ User และ Pin Id จากโบรกเกอร์
ผมเองก็ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์กำธร เรือนฝายกาศ
เป็นอย่างมากที่ได้สอนและทำให้ผมได้รู้จักกับการลงทุนในตลาดหุ้นจนถึงวันนี้ ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของผมนั้นเป็นบัญชีชีแบบ
Cash Balance ซึ่งเป็นที่จำเป็นต้องมีเงินจำนวนมากก็สามารถเปิดบัญชีแบบนี้ได้
ผมใช้เงินในการเปิดบัญชีด้วยเงินไม่ถึง 50 บาทด้วยซ้ำ โดยที่เงินในบัญชีหลักทรัพย์ของผมยังเป็น 0
บาท เพราะไม่มีเงินออมเลยแม้แต่บาทเดียว
Subscribe to:
Posts (Atom)